ประวัติ
มาศึกษาประวัติศาสตร์ฮาโกดาเตะแบบฉบับย่อกันดีกว่า เพื่อให้ท่านสนุกไปกับทริปมากขึ้นหากทราบว่าเมืองฮาโกดาเตะนั้นมีต้นกำเนิดอย่างไร *
1. การก่อรูปของเกาะที่เชื่อมกับแผ่นดินที่ชาวโจมงได้มาตั้งรกราก
ภูเขาฮาโกดาเตะเคยเป็นเกาะมาก่อนในช่วงอดีตกาล **
ภูเขาฮาโกดาเตะเป็นเกาะที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟในยุคอดีต เมื่อเวลาผ่านไป ดอนทรายได้ก่อตัวขึ้นระหว่างเกาะและคาบสมุทร เมื่อราว ๆ 3,000 ปีก่อน เกิดการก่อตัวของแผ่นดินในลักษณะพิเศษที่เรียกว่าสันดอนเชื่อมเกาะ ซึ่งมีพื้นที่ส่วนแคบ ๆ อยู่ตรงกลาง และพื้นที่ของชุมชนส่วนใหญ่ในปัจจุบันตั้งอยู่บนดอนทรายนี้นี่เอง
กล่าวว่าผู้คนได้มาตั้งรกรากบนแผ่นดินนี้เมื่อราว ๆ 5,000 ปีก่อน แหล่งทางโบราณคดีต่าง ๆ ในยุคโจมงเช่นในเขตมินามิคายาเบะที่ขุดพบ สมบัติชาติซึ่งเป็นรูปปั้นดินเผา นั้นยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในเมือง
2. สมรภูมิที่ตึงเครียดของชนพื้นเมืองไอนุกับประเทศรัสเซีย
แผนที่ชายฝั่งจากฮาโกดาไปยังพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับเนมุโระเมื่อปลายศตวรรษที่ 18 *
ชาววาจิน กลุ่มชนเผ่าที่ทรงอำนาจแห่งฮอนชู ได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปยังฮอกไกโดและลงหลักปักฐานที่ตีนเขาฮาโกดาเตะและพื้นที่ใกล้เคียงเมื่อราว ๆ ศตวรรษที่ 14 ซึ่งในอดีตนั้น ชาวไอนุซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองในฮอกไกโด ซึ่งถูกเรียกว่าเอโซนั้นทรงอำนาจเหนือกว่า ทว่ามีความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมายระหว่างชาวไอนุและผู้อพยพจากฮอนชู
ในศตวรรษที่ 17 รัสเซียได้รุกลงมาทางใต้ ขยายอิทธิพลมายังซาคาลินและหมู่เกาะคูริล เมื่อพิจารณาจากขอบเขตอิทธิพลของรัสเซีย รวมถึงเจ้าของดินแดนอย่างชาวไอนุที่ปักหลักอยู่ในดินแดนนี้ สุดท้ายจึงกลายเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงให้กับโชกุน
3. การเปิดท่าเรือฮาโกดาเตะกับการไหลบ่าของวัฒนธรรมตะวันตก
ท่าเรือฮาโกดาเตะถูกบันทึกไว้ในบันทึกการสำรวจของทัพเรืออเมริกาในเขตทะเลจีนและญี่ปุ่น *
ในปี 1854 รัฐบาลโชกุนได้ตัดสินใจลงนามสนธิสัญญากับนายพลเรือเพอร์รี่จากอเมริกาในการเปิดประเทศ ส่งผลให้ฮาโกดาเตะและชิโมดะถูกเลือกเป็นท่าเรือที่ใช้ทำการลงนามสนธิสัญญา พลเรือเพอร์รี่เองก็ได้นำกองเรือมาเยี่ยมชมฮาโกดาเตะด้วยเช่นกัน โดยเขาได้เอ่ยปากชมท่าเรือนี้ว่า “เป็นท่าเรือที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก”
หลังจากเปิดประเทศไม่นาน รัฐบาลโชกุนได้ย้ายสำนักงานของรัฐที่ปกครองฮาโกดาเตะไปยังพื้นส่วนในเพื่อใช้ทำการเจรจากับต่างชาติอีกทั้งใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการป้องกัน ซึ่งนั่นก็คือ โกเรียวคาคุป้อมปราการในแบบตะวันตก
หลังจากนั้นได้มีการลงนามในสนธิสัญญาทางการค้า ท่าเรือฮาโกดาเตะจึงได้เปิดใช้เช่นเดียวกับท่าเรือโยโกฮาม่าและนางาซากิในปี 1859 และนี่เป็นจุดเริ่มต้นในการทำการค้ากับประเทศตะวันตก ซึ่งรวมถึงอเมริกา, อังกฤษและฝรั่งเศส จากนั้นมา พ่อค้าวาณิชจากต่างแดนจึงเดินทางเข้ามายังฮาโกดาเตะอย่างไม่ขาดสาย การหลั่งไหลของวัฒนธรรมตะวันตกนั้นมีอิทธิพลที่ทำให้ภูมิทัศน์ของเมืองฮาโกดาเตะนั้นเปลี่ยนไป
4. สมรภูมิฮาโกดาเตะและพัฒนาการของฮอกไกโดโดยรัฐบาลใหม่
สมรภูมิฮาโกดาเตะระอุขึ้นเมื่อต้นฤดูร้อนปี 1869 ***
ในปี 1868 กลุ่มทหารผู้แยกตัวจากรัฐบาลโชกุนที่ปกครองเอโดะได้ใช้โกเรียวคาคุเป็นฐานที่มั่น และประกาศสงครามกับกองกำลังรัฐบาลเมย์จิ หนึ่งในทหารผู้แยกตัวออกมานั้นคือ โทชิโซ ฮิจิคาตะ อดีตสมาชิกกลุ่มตำรวจพิเศษเกียวโต ชินเซ็นกุมิ และนายพลเรือบรูเนต์ชาวฝรั่งเศส หนึ่งในที่ปรึกษากองทัพของรัฐบาลโชกุน หลังจากยุทธภูมินาวาในอ่าวฮาโกดาเตะและการปะทะบนท้องถนนจบลง กองกำลังรัฐบาลใหม่ก็ได้กุมชัยชนะในสงครามครั้งนี้
หลังสมรภูมิฮาโกดาเตะ รํฐบาลเมจิจึงเปิดใช้งานบริการของฮาโกดาเตะ-อาโอโมริโดยปกติและได้ยกระดับความทันสมัยให้กับท่าเรือฮาโกดาเตะ โดยจัดให้ฮาโกดาเตะเป็นทัพหน้าสำหรับการพัฒนาฮอกไกโด
5. ก้าวแรกสู่เมืองอันทันสมัย
เขตชุมชนฮาโกดาเตะหลังปรับปรุงย่านที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 1882 *
ในปี 1879 ได้เปิดใช้งาน สวนสาธารณะฮาโกดาเตะซึ่งเป็นสวนสาธารณะชุมชนที่บุกเบิกเป็นแห่งแรกของญี่ปุ่น สวนสาธารณะแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตามคำขอของยูสเด็น เจ้าหน้าที่กงสุลอังกฤษ ในปี 1889 ได้มีการก่อสร้างและติดตั้งโรงประปาแห่งที่สองของญี่ปุ่นขึ้น
ย่านที่อยู่อาศัยสำหรับชาวต่างชาติก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในฮาโกดาเตะ โดยบริเวณตีนเขาฮาโกดาเตะต่างก็คับคั่งด้วยโบสถ์ และโรงเรียนมิชชั่นนารีสตรีในย่านโมโตะมาจิ รวมถึงที่ทำการศาลแขวง, สถานีตำรวจและที่ทำการศุลกากรบนถนนสายโมโตอิ-ซากะ ถนนสายหลัก (ปัจจุบันเป็นทางรถราง) เรียงรายไปด้วยธนาคารและห้างร้านใหญ่ ๆ
6. การเริ่มใช้เรือบรรทุกข้ามฟากเซย์คังและแหล่งประมงในทะเลเหนือ
ผังเมืองในปี 1913 แสดงให้เห็นท่าเรือบรรทุกข้ามฟาก *
ปี 1908 ในขณะที่เรือบรรทุกรถไฟ ข้ามฟาก เซย์คัง (อาโอโมริ-ฮาโกดาเตะ) ไปมาระหว่างฮอนชูและฮอกไกโดเริ่มใช้งานนั้น ทำให้ฮาโกดาเตะกลายเป็นเส้นทางหลักในการเข้าออกฮอกไกโด ในปี 1920 ได้เริ่มทำการประมงในทะเลทางเหนือ เนื่องจากเป็นท่าสำหรับเรือใช้ออกประมง ฮาโกดาเตะจึงกลายเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
ในปี 1933 ฮาโกดาเตะจึงกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 9 ของญี่ปุ่นโดยมีประชากรมากกว่า 200,000 คน ในช่วงเวลานี้เองที่คลังสินค้าขนาดใหญ่มากมายได้ผุดเรียงรายตามแนวท่าเรือฮาโกดาเตะ (ปัจจุบันกลายเป็นห้างสรรพสินค้า โกดังอิฐแดงคาเนโมริ ).
7. เหตุเพลิงไหม้ใหญ่ต่อเนื่องและการวางผังเมืองใหม่
แผนที่แสดงให้ถึงพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากเพลิงไหม้ใหญ่ในปี 1934 *
สาเหตุเกิดจากลมพายุแรงในทะเลและภาวะขาดแคลนน้ำ ฮาโกดาเตะจึงประสบกับเหตุอัคคีภัยอยู่เป็นประจำ หลังจากเหตุเพลิงไหม้ใหญ่ในปี 1878 และ 1879 ที่เผาย่านชุมชนในเวลานั้นจนเกือบหมดสิ้น ทางลาดบริเวณฐานภูเขาฮาโกดาเตะได้ยืดตัวขึ้นและขยายออก และพื้นที่บริเวณนั้นยังคงอยู่จนปัจจุบัน
ไฟแห่งปี 1907 (เมจิ 40) ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บประมาณ 1,000 รายและเผาใจกลางเมืองส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ตัวเมืองได้ทำการวางผังและออกแบบขึ้นใหม่โดยชาวเมืองฮาโกดาเตะร่วมผนึกกำลังลงทุนลงแรงด้านงบประมาณ อาคารสำคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์ในฮาโกดาเตะ เช่น ศาลาประชาคมเก่าของฮาโกดาเตะ, บ้านเก่าแก่ของตระกูลโซมะ, อดีตสถานกงสุลอังกฤษประจำฮาโกดาเตะ, โบสถ์โรมันคาทอลิกโมโตมาชิ และโบสถ์ออร์โธดอกซ์ฮาโกดาเตะนั้นถูกสร้างขึ้นหลังจากเหตุเพลิงไหม้
ในปี 1934 เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ โดยคร่าชีวิตผู้คนกว่า 2,000 รายโดยพื้นที่ชุมชนเกินครึ่งก็โดนไปด้วย แผนสำหรับการบูรณะเมืองใหม่นั้นนั้นเน้นการป้องกันการเกิดเหตุเพลิงไหม้โดยออกแบบแนวกันไฟแนวยาวกว่า 55 เมตรวางตัดสลับในตัวเมือง ท่านสามารถเห็นแนวพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่ก่อเป็นโครงในเขตชุมชนจากยอดเขาฮาโกดาเตะได้
8. เติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง
ภาพมุมสูงของฮาโกดาเตะในปี 1948 ใช้สำหรับการท่องเที่ยว *
ในช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง ฮาโกดาเตะถูกอเมริกาโจมตีอย่างหนักหน่วงทางอากาศ เรือบรรทุกข้ามฟากเซย์คังส่วนใหญ่ถูกทิ้งระเบิดและจมหายไป แม้จะมีป้อมปราการอยู่บนภูเขาฮาโกดาเตะก็ตาม แต่ก็ไม่อาจที่จะทำการโต้กลับการปูพรมระเบิดนี้ได้
หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ฮาโกดาเตะก็ค่อย ๆ พัฒนาให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ในปี 1958 ก็ได้มีการเปิดใช้งานกระเช้าภูเขาฮาโกดาเตะ นักท่องเที่ยวจำนวนมากถูกอกถูกใจกับทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามที่มีทัศนียภาพกลางคืนที่สวยที่สุด นอกเหนือจากเนเปิลส์และฮ่องกง ในปี 1964 หอคอยโกเรียวคาคุ ก็ถูกสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ จากที่นี้สามารถชมวิวมุมกว้างของคูน้ำรูปดาวที่โอบล้อมโกเรียวคาคุได้
ในปี 1988 อุโมงค์เซย์คังที่ได้ชื่อว่าเป็นอุโมงค์ใต้ทะเลที่ยาวที่สุดในโลกก็ได้เปิดใช้งาน ในเดือนมีนาคม 2016 รถไฟหัวกระสุนฮอกไกโดชินคันเซน ที่วิ่งลอดอุโมงค์ใต้ทะเลก็ได้เปิดใช้บริการ โดยสามารถเดินทางจากโตเกียวมาถึงที่นี่ได้ในเวลาเพียง 4 ชั่วโมง
- * Collection of Hakodate City Central Library
- ** © Mt.HAKODATE ROPEWAY Corporation
- *** Collection of Hakodate City Museum